เพจ สู้ดิวะ เปิดบทส่งท้าย จาก “หมอกฤตไท” หวังเป็นพลังให้ผู้อื่น
วันนี้ (5 ธ.ค.2566), ทางเฟซบุ๊กได้เป็นที่รู้จักกับการแจ้งข่าวที่ทำให้สังคมออนไลน์หวาดเสียดทาน เมื่อ หมอกฤตไท ธนสมบัติกุล , อายุ 29 ปี, ที่เป็นลูกชายของ ไทภัทร ธนสมบัติกุล อาจารย์แพทย์และเจ้าของเพจ “สู้ดิวะ”, ได้ถูกประกาศว่าไปจากโลกนี้ ข้อความที่มีคำว่า “เดินทางปลอดภัยครับ ลูกชาย” ถูกโพสต์เวลา 10.09 น.
ข่าวนี้ทำให้ชาวเน็ตหลายคนเข้ามาแสดงความเสียใจและแสดงความอาลัยต่อครอบครัวของน้องชาย โดยความเสียดายและความอาลัยนำมาซึ่งคำตอบว่าผู้ที่เรารักอาจจะไม่อยู่กับเราตลอดไป นับเป็นเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเศร้าและเสียใจในวงกว้างของสังคมออนไลน์
ล่าสุด, เมื่อประมาณ 15.00 น. ทางเพจ “สู้ดิวะ” ได้โพสต์ข้อความที่ทำให้สังคมออนไลน์เอาใจใส่มากขึ้น เนื้อหาข้อความกล่าวถึงการจากไปของ หมอกฤตไท ธนสมบัติกุล , 29 ปี, ลูกชายของ ไทภัทร ธนสมบัติกุล, อาจารย์แพทย์และเจ้าของเพจ “สู้ดิวะ” เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ ข้อความเปิดเผยว่าตั้งแต่รู้ว่าตนเองป่วยเมื่อปีที่แล้ว, คุณหมอไทมุ่งมั่นที่จะใช้เวลาที่เหลือให้มีค่ากับคนรอบข้างมากที่สุด การสร้างเพจ ‘สู้ดิวะ’ นี้จึงเกิดขึ้นเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวแนวคิดต่าง ๆ ที่คุณหมอไทได้ตกตะกอนในช่วงที่ต้องต่อสู้กับโรคร้าย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา, ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับสังคมมีความหลากหลายมากที่หมอไทและกลุ่มเพื่อนสนิทหวังไว้ หลายคนได้มีโอกาสในการทบทวนแนวทางการดำเนินชีวิต, และแลกเปลี่ยนเรื่องราวในฐานะผู้ป่วยระยะสุดท้าย หลายคนกลับมามีกำลังใจที่จะมีชีวิตต่อไปจากการที่ได้อ่านโพสต์ของคุณหมอ
นอกจากนี้, เพจ ‘สู้ดิวะ’ ยังเป็นแหล่งกำลังใจในการใช้ชีวิตให้กับคุณหมออีกด้วย หลายครั้งที่หมอไทท้อแท้หรือหมดกำลังใจจากการรักษาที่ทรมาน, สิ่งที่สืบเนื่องมาคือเรื่องราวของผู้ติดตามเพจ ‘สู้ดิวะ’ ที่ได้รับบางอย่างจากข้อเขียนของหมอไท
ในปัจจุบัน, เพจ ‘สู้ดิวะ’ ได้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว ในฐานะเพื่อนของคุณหมอไทที่ได้ร่วมช่วยดูแลเพจนี้ตลอด, เราต้องขอขอบคุณทุกคนที่อยู่เป็นกำลังใจมาจนถึงวันนี้ ถึงแม้จะไม่มีโพสตถัดไปจากคุณหมออีกแล้ว, แต่เราหวังว่าแนวคิดและแรงบันดาลใจที่คุณหมอได้สร้างไว้ จะถูกพูดถึง, ส่งต่อ, และเป็นพลังให้กับผู้คนในสังคมต่อไป
บทส่งท้าย จากคุณหมอกฤตไท
ถ้าต้องสรุปบทเรียนจากประสบการณ์ของน้องมะเร็งที่ผ่านมา, คงต้องบอกว่า “ชีวิตไม่แน่นอน สุดท้ายทุกคนจะต้องเผชิญกับความประจักษ์ของความตาย จึงควรให้ความสำคัญกับปัจจุบัน ใช้ทุกวันในชีวิตเป็นวันสุดท้าย หากมีสิ่งที่สามารถทำเพื่อผู้อื่นได้, ลุกขึ้นแบ่งปันความโชคดีให้เขาบ้าง, และไม่ว่าชีวิตจะแย่แค่ไหน, อย่าหมดหวังในชีวิตเด็ดขาด”
การมองเห็นเรื่องนี้ดีหนึ่งเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะผิดปกติแต่ก็เป็นที่จริง ผมต้องมีการยอมรับว่าวันหนึ่งต้องตายนั้นเป็นความเป็นจริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คำถามที่ผมตั้งขึ้นเป็น “ทำไมผมต้องตายก่อนที่จะเกษียณ” ในอดีตผมได้ดูแลตัวอย่างการรักษาเพื่อไม่ให้ตนเองเป็นโรคร้ายเช่นเบาหวาน, ไขมัน, และความดัน ตั้งใจจะเป็นคนแก่ที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง, แต่ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสไปถึงวันนั้น ต้องยอมรับว่าผมรู้สึกเจ็บปวดจริงๆ, แต่นี่คือชีวิต ชีวิตที่บอกเราว่าเราไม่สามารถควบคุมได้ และต้องรับมันทั้งหมด
ผมรักชีวิตของผมตอนนี้มาก รักทุกคนรอบตัว, รักทุกอย่างที่ผมมี, รักทุกสิ่งที่ผมเป็น แน่นอนว่าผมไม่ต้องการจากไป, แต่ทำอะไรไม่ได้
ผมหวังว่าเรื่องนี้จะช่วยให้คุณสามารถมองหน้าในชีวิตตัวเองและฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา, โดยที่ไม่จำเป็นต้องตกเป็นโรคร้ายเช่นผม ขอบคุณบทความจาก : หมอกฤตไท